วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

นักวิจัยสกว.ชี้กทม.มีน้ำเสียมากที่สุด เตือนแหล่งน้ำของไทยเสื่อมโทรมลง

อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงผลการศึกษาวิจัยสถานการณ์น้ำของประเทศไทยในอดีตถึงปัจจุบัน ว่า จากการศึกษาข้อมูลย้อนหลังในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาซึ่งประกอบด้วย ข้อมูลสภาพอุทกวิทยาของ 25 ลุ่มน้ำหลักของไทย ได้แก่ ปริมาณฝน ปริมาณน้ำท่า น้ำบาดาล แหล่งน้ำต้นทุน สภาพปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง คุณภาพน้ำ และการใช้น้ำในภาคครัวเรือน บริการ อุตสาหกรรม และเกษตรกรรม  รวมถึงดัชนีชี้วัดที่สำคัญ


ทำให้สรุปภาพรวมสถานการณ์น้ำของไทย  พบว่า  มีแนวโน้มเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำในหลายพื้นที่  เนื่องมาจากความต้องการน้ำที่เพิ่มมากขึ้น  และมีความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ  รวมทั้งน้ำฝนและน้ำท่ามากขึ้น จึงต้องการการศึกษาวิจัยและเครื่องมือใหม่ในการบริหารจัดการน้ำเพื่อเตรียมแก้ไขปัญหาน้ำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างเหมาะสมและทันเหตุการณ์
ด้านคุณภาพน้ำพบว่า โดยภาพรวมของประเทศไทยมีแนวโน้มเสื่อมโทรมลง เนื่องจากการระบายน้ำเสียจากชุมชน และการชะหน้าดินที่มีปุ๋ยประเภทสารเคมีตกค้างจากการเกษตรและปศุสัตว์

ที่มา:bangkokbiznews 

พบสารเคมีต้องห้ามเมื่อเกือบ 40 ปีก่อน ตกค้างในส่วนลึกที่สุดของมหาสมุทรแปซิฟิก


บทความเชิงวิชาการที่ตีพิมพ์ในวารสารวิวัฒนาการทางธรรมชาติและระบบนิเวศ (Nature and Ecology Evolution) ระบุว่าสารก่อมลพิษ PCBs และ PBDEs ที่ถูกพบปะปนอยู่ในระบบนิเวศใต้ทะเลลึกในปริมาณเข้มข้นทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องประหลาดใจ


สารเคมีเหล่านี้ถูกใช้อย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 ซึ่งหลังจากนั้นก็พบว่าเป็นพิษและสะสมในสภาพแวดล้อม ดร.อลัน เจมีสัน และคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ได้เก็บตัวอย่างจากเนื้อเยื่อไขมันของแอมฟิพอด (สัตว์น้ำที่มีเปลือกแข็งชนิดหนึ่ง) ที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิก พบสารเคมีในห่วงโซ่อาหารรายงานระบุด้วยว่า ระดับสาร PBCs พี่พบในร่องน้ำลึกมารีอานา สูงกว่าที่พบในตัวปูจากบริเวณทุ่งนาที่รับน้ำจากแม่น้ำเลี่ยวเหอ ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำที่มีมลพิษมากที่สุดในจีน โดย ดร.เจมีสัน กล่าวว่า "แอมฟิพอด ที่เก็บตัวอย่างได้ มีระดับสารพิษปนเปื้อน มากพอ ๆ กับในอ่าวซูรุกะ ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในเขตอุตสาหกรรมที่มีมลภาวะสูงที่สุดของทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก"

ที่มา:bbc

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ระวัง “เนื้องอกกระดูก” ระยะแรก ไม่มีอาการ ปล่อยไว้ทำลายกระดูก


กรมการแพทย์ เตือน “เนื้องอกกระดูก” ระยะแรก ไม่มีอาการ ระยะที่ 2 เริ่มทำลายกระดูก จนเกิดอาการปวด ส่วนมะเร็งกระดูกมักพบรอบๆ เข่า สะโพก รักษาได้จากการผ่าตัด เคมีบำบัด และรังสีรักษา
นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า เนื้องอกกระดูก คือ ภาวะที่เซลล์ของกระดูกมีการแบ่งตัว เจริญเติบโตผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้กระดูกถูกทำลายไป หรือมีก้อนโตขึ้นอย่างผิดปกติ เนื้องอกชนิดธรรมดา หรือไม่ร้าย ที่เกิดภายในกระดูก แบ่งเป็น 3 ระยะ ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยเคมีบำบัด ให้เพื่อลดขนาดก้อนและทำลายเซลล์มะเร็ง

ที่มา:mgronline